ผู้คบธรรมกับผู้คบกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันปวารณาวันออกพรรษาไง วันนี้วันออกพรรษา วันนี้เป็นวันชัยชนะนะ พรุ่งนี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลก ขึ้นไปโปรดพระมารดาจนมีดวงตาเห็นธรรม แล้วลงมาจากดาวดึงส์ เพราะว่าในพรรษานี่ขึ้นไปเทศน์อภิธรรมตลอดเลยทั้งพรรษา จนมีดวงตาเห็นธรรม
พระจักขุบาลก็เหมือนกัน พระจักขุบาลนะ ถือก่อนเข้าพรรษา ถือไม่นอน ถือเนสัชชิกมาตลอด แล้วพอกลางๆ ปลายพรรษา หมอเขามาตรวจว่าตาถ้าไม่พักผ่อน ตานี้จะเสีย ก็ไม่ยอม ก็ภาวนาด้วยความเข้มแข็งนะ ด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความอดทน สุดท้ายพอบั้นปลาย ตาเริ่มเสีย ตาจะเสียแล้ว ถ้าเป็นพวกเรา เราจะหยุดก่อน ต้องให้หมอรักษาก่อนแล้วค่อยภาวนาใหม่ นี่ไม่ยอม ด้วยความอุกฤษฏ์ของท่านไง ดวงตานี่บอด พร้อมกับหัวใจสว่างไสว
นี่วันแห่งชัยชนะไง วันออกพรรษา พระพุทธเจ้าโปรดพระมารดาจนมีดวงตาเห็นธรรม พระจักขุบาลถือเนสัชชิก ไม่นอน จนชำระกิเลสได้ ตาบอดให้บอดไป แต่หัวใจสว่างไสว หัวใจพ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลสทั้งหมดเลย อย่างนี้เพราะอะไร เพราะเขาปฏิบัติถูกทาง ปฏิบัติมาถูกทาง เข้ามาถูกทำนองคลองธรรม จนถึงกับออกพรรษาไปแล้ว เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา
เพราะทำความมัคคอริยสัจจัง ทำความถูกต้อง นี่ถ้าเรามีเทคโนโลยี แล้วเราเชื่อครูบาอาจารย์ เทคโนโลยีก็การทำมรรค ๘ นั่นล่ะ มรรค ๘ ความเพียรชอบ ความเห็นชอบ ความเพียรชอบ ถ้าว่าตาจะบอดนี้ ชอบไหม เราว่ามันจะชอบ มันจะชอบได้อย่างไร ตาจะบอดน่ะ แต่ถ้าเรารักษาตาไว้ ออกมาแล้วกว่าจะทำใหม่ มันโอกาสอันนั้นซ้ำ ๒ ซ้ำ ๓ ครั้งแรกนี่ทำแล้วมันจะง่าย พอครั้งที่ ๒ ไปมันจะยากเข้า ยากเข้า เพราะอะไร นี่เพราะจิตเสื่อม ยกขึ้น มันถึงจะลำบากอย่างนั้นไง
นี่ผู้ที่มีชัยชนะออกไป เป็นที่กราบไหว้บูชาของเรา เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหันต์ก็เป็นพระสงฆ์เหมือนกัน รัตนตรัยเป็นที่พึ่งไง แต่ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ มีผู้ปฏิบัติอยู่ เขามาหาอยู่นะ เขาบอก เขาศึกษามา เขาเป็นพระเหมือนกัน ศึกษามาว่าพระขีณาสพจะเป็นกุศลทั้งหมด ความคิดเป็นกุศลทั้งหมดเลย อกุศลจะไม่เกิดเลย แล้วเรานี่ก็ศึกษามา ศึกษามาใช่ไหม พอศึกษามา เรารู้ทัน เราก็พยายามจะทำใจให้เป็นกุศลทั้งหมด รักษาใจให้เป็นกุศลทั้งหมด แล้วเราก็ถึงจะเป็นพระขีณาสพได้
เขาทำไม่ได้ไง เขาสึกไป ๑๒ พรรษา ศึกษาแล้วสึกไป แล้วออกไปยังมีความเห็นอย่างนั้นไง กลับมา มาถามปัญหาว่า เราก็พยายามทำใจเราให้ดีตลอดเลย แล้วทำใจทำให้เป็นกุศล แล้วเราจะเป็นพระขีณาสพต่อไป
เราบอกว่า ถ้าเราศึกษานะ เราศึกษาแบบตำราน่ะ ถูกต้องเลย พระขีณาสพคือพระอรหันต์ หัวใจนี่เป็นกุศลทั้งนั้นเลย จะไม่เป็นอกุศล เพราะอะไร เพราะเหมือนกับก๊อกน้ำ ก๊อกน้ำเปิดน้ำมา ก๊อกน้ำมี ๒ ทาง ทางหนึ่งเป็นกุศล ทางหนึ่งเป็นอกุศล คนที่คุมก๊อกน้ำนั้นได้ มันก็จะให้น้ำนี้ไหลไปทางกุศลทั้งหมดได้ใช่ไหม ธรรมของพระอรหันต์มันเป็นอัตโนมัติ ถ้าเป็นอกุศลมานี่หยุดได้ตลอดเวลาเลย เพียงแต่ว่าปล่อยมาเป็น...
ปล่อยมาหมายถึงว่ามันออกมาพิจารณาไง เวลาจิตมันกระเพื่อม จับดูแล้วมันกระเพื่อม พิจารณาตามไป แต่ถ้าจะไม่ให้ไปก็ได้ไง ก็ก๊อกน้ำคุมอยู่ ก๊อกน้ำนี่เราปิดเราเปิดน้ำมันไปได้ตามที่เราควบคุมทั้งหมด นี่เพราะว่า เขาเข้าไป พระขีณาสพเข้าไปถึงตรงผู้ที่คุมก๊อกน้ำไง
มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เดี๋ยวนี้เราเห็นตัวเจ้าแล้ว เจ้าจะเกิดอีกไม่ได้
ก๊อกน้ำจะไหลไปทางผิดไม่ได้เลย นั้นเพราะอะไร เพราะเข้าไปถึงผู้ที่ควบคุม แต่พอศึกษาแล้วนี่จะทำตาม อันนี้เป็นความเห็นของตัวแล้ว เป็นการประพฤติปฏิบัติผิด เป็นความเห็นผิด เขาถึงเป็นผู้แพ้ไง เขาเป็นผู้แพ้ เขาสึกออกมา เห็นไหม ผู้แพ้แล้วนะ การปฏิบัติของผู้แพ้ กับการปฏิบัติของพระจักขุบาล การปฏิบัติของครูบาอาจารย์ที่ถึงธรรม มันมีความอุกฤษฏ์ขนาดที่ว่าไม่ยอมแพ้ไง สู้ แม้แต่ตาบอดก็สู้ สู้จนผ่านพ้นไป แล้วเทวดา อินทร์ พรหม สาธุการทั้งหมดเลย นี่คือเนื้อนาบุญของโลกไง
แต่ผู้แพ้มา แพ้ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพอออกมาศึกษาแล้วยังคิดว่าตัวเองควบคุมกุศลไว้เฉยๆ แล้วมันจะย้อนกลับไปถึงตรงไอ้ผู้ควบคุมก๊อกน้ำนั้นได้ ก๊อกน้ำคืออวิชชา ก๊อกน้ำคือวิชชากับอวิชชา ถ้าเป็นวิชชาก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นอวิชชานี้ก็เป็นพวกเรา พวกมีทุกข์มียากนี้ ทีนี้เราควบคุมไว้เฉยๆ แล้วเราควบคุมน้ำ เราถามว่าควบคุมไว้ด้วยอะไร ควบคุมด้วยสมาธิไง เวลาจิตนี้เป็นสมาธิใช่ไหม มันก็ควบคุมได้ ก็ไม่ให้อารมณ์นั้นเกิดได้ แต่สมาธิ ถามว่าเสื่อมได้ไหม? เสื่อม ถ้าสมาธิเสื่อม มันจะเป็นกุศลได้ตลอดไหม? ไม่ได้ ถ้าเป็นกุศลไปไม่ได้ตลอด แล้วจะย้อนกลับเข้าไปถึงคนที่คุมก๊อกน้ำได้อย่างไร ในเมื่อกระแสน้ำนี้ไม่ไหลกลับ
นี่ถามเขาอย่างนั้นนะ เขาเข้าใจว่าเขาควบคุมกุศลอยู่เฉยๆ เขาจะเป็นพระขีณาสพไป เขาถึงได้สบประมาทไง เขามาถึงก็สบประมาทพระที่นู่นนะว่า ศีลไม่ต้องถือ ทาน ศีล ภาวนา ไม่เกี่ยว เขาถึงว่าควบคุมให้เราใช้ปัญญาอย่างเดียวเลย แต่ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ทันเขา เขาก็มาข่มขี่พระเราได้
พอพูดให้เขาฟังนะ สะอึกหมดนะ เป็นไปได้ไหม เราไม่ได้พูดนะ เอาความเห็นของเขา เขารู้อยู่แล้วว่าสมาธิเขาเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อม แล้วการทำสมาธินี้ก็แสนยาก ทำแสนยากแล้วมันยังเสื่อมมาอีก ความเสื่อมมา แล้วจะคุมกุศลได้อย่างไร มันเป็นความคิดหยาบๆ ไง
อย่างเช่น ที่ว่ามีพระหลงไป ทำความสงบ พออวิชชาสงบตัวลง สงบตัวลง เข้าใจว่าอวิชชาสงบนี่เพราะจิตเป็นสมาธิ อวิชชาต้องเบาตัวลง ถ้าอวิชชานี้เบาไป ทำไมมันไม่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ว่าก็ไม่ได้เป็นใช่ไหม เพราะอวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลาง อวิชชาอย่างละเอียดในหัวใจ ไม่ได้วิปัสสนา ไม่ได้ชำระไปเลย เห็นไหม ทำความสงบก่อน เพื่อจะเริ่มก๊อกน้ำเข้าไป จากขึ้นไปเป็นกุศลขึ้นไป กุศลไปต้องวิปัสสนาเข้าไปด้วย
ทำแบบผู้แพ้ไง ทำแบบผู้ไม่รู้ไง แม้แต่มรรคมีอยู่ เราศึกษามรรค ศึกษากันอยู่ แล้วเราเอาอะไรเข้ามา วันนี้เป็นวันแห่งชัยชนะ เป็นวันแห่งชัยชนะของพระจักขุบาล เป็นวันดวงตาเห็นธรรมของมารดาไง ของแม่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ผู้ที่คบพระพุทธเจ้านี้ ในหมู่โลกนี้ เพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐที่สุด คบพระพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด
ในเมื่อเราเกิดมาไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเกิดมา ธรรมวินัย พระไตรปิฎกนี้มีอยู่ พระไตรปิฎกนี้เป็นเครื่องที่จดจารึกไว้ เราศึกษาพระธรรมวินัยนี้แล้วพยายามดัดตน ดัดตน พยายามทำตนให้เข้ากับธรรมวินัย ไม่ใช่แบบผู้แพ้ พยายามจะดัดธรรมวินัยมาเข้ากับเรา ทำเพราะคิดว่าเราเป็นกุศล ศึกษามาแล้วเอาตนเป็นใหญ่ เอากิเลสเป็นใหญ่ แล้วพยายามจะว่า ทำเพื่อจะเข้าไปรักษากุศลไว้ จะเข้าไปถึงนั้น
รักษากุศลไว้ รักษาได้อย่างไร รักษาได้แต่จิตมันเจริญขึ้น แต่พอจิตมันเสื่อมลง มันจะรักษาอย่างไร มันด้วยกิเลสในหัวใจ มันธรรมชาติของมัน ถึงต้องทำความสงบ ถึงต้องมีทาน ศีล ภาวนา เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านเกิดจากทาน เพราะท่านสะสมทานบารมีมา แล้วถึงมีศีล มีภาวนา
แต่ด้วยความคิดของเรา เห็นไหม จะดัดแปลงธรรมวินัยมาหาเรา ทาน ศีล นี้เป็นพื้นๆ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ จะใช้ปัญญาไปเลย แล้วควบคุมเอาเอง เป็นผู้แพ้มาตั้งแต่ต้น แล้วก็เป็นผู้แพ้ไปตลอด แล้วความเห็นนั้นยังจะเห็นผิดไปตลอด ความเห็นผิดนั้นทำให้ไปไม่รอด พอไปไม่รอดขึ้นมาแล้ว กลับมาเพ่งโทษว่าเราปฏิบัติแล้วไม่ได้ ในศาสนานี้มรรคผลจะไม่มี มรรคผลจะหมดไปจากโลกนี้แล้วไง เราปฏิบัติ เราเข้มแข็งขนาดนี้ ทำไมเราเข้าไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติผิด
ถึงว่า การคบหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เราต้องเข้าหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนที่ว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุดคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คบใครไม่ดีเท่าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าพาไปดีหมด ไม่มีทางพาไปทางต่ำ โคนำฝูงไม่เคยพาโคจมอยู่กลางแม่น้ำนะ พาขึ้นฝั่งหมด ขึ้นฝั่งไม่ใช่ขึ้นฝั่งในทางโลก ขึ้นฝั่งทางธรรมไง
ทุกข์นี่แสนทุกข์มาก ขึ้นฝั่งหมายถึงใจนี้เสวยความสุขนะ มันขึ้นฝั่งได้ มันไม่ต้องคิดแบบนี้ ไม่มีใครจะควบคุมความคิดของตัวเองได้ ความคิดเกิดๆ ดับๆ อยู่ ถ้ามีความสุข ความคิดนี้เราก็ยับยั้งไว้ได้ ถ้าวันไหนใจเราไม่มั่นคง ความคิดนี้จะฟุ้งซ่านมาก แล้วความคิดนี้ก็ไม่เคยหยุดไป ถ้าเราอยากให้หยุดมันก็หยุดไม่ได้ ทุกข์ไหม เห็นไหม ขึ้นฝั่งขึ้นฝั่งตรงนี้ ไม่ใช่ขึ้นฝั่งข้างนอก
ขึ้นฝั่งข้างนอกไม่ต้องขึ้นหรอก เพราะมันมีเทคโนโลยีไปอยู่แล้ว มันเจริญรุ่งเรือง สมัยนี้วัตถุเจริญ แต่หัวใจจะขึ้นจะลงขนาดไหนมันก็ทุกข์ ความทุกข์อันนี้ต่างหากความทุกข์ในหัวใจ ถึงว่าธรรมะนี้เป็นธรรมโอสถ โรคนี้ ยานี้แก้ไขโรคทางกาย แต่โรคทางใจมีธรรมะเท่านั้น ธรรมะเท่านั้นนะ แม้แต่จิตแพทย์ก็รักษาแค่จิตแพทย์ไปเท่านั้น รักษาก็รักษากลับมาให้เป็นปกติของปุถุชน
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดวงตาเห็นธรรม มีดวงตาเห็นธรรม ธรรมะคือความเป็นจริงที่เกิดดับๆ ในหัวใจ ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม ข้ามพ้นจากสมมุติไปทั้งหมด เห็นธรรม ถึงธรรมไปเลย
วันแห่งชัยชนะไง เราถึงทำบุญ เวลาเข้าพรรษา ออกพรรษา วันเข้าพรรษาเราก็มาเพื่อจะตั้งกติกากับเรา เพื่อเราจะก้าวเดินตามไป ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ยังมีธุดงควัตรเข้าไปอีก ยังมีการที่ว่าไม่นอน ผ่อนอาหาร นี่เริ่มต้น พระจักขุบาลก็เริ่มต้นวันนี้ อธิษฐาน เริ่มต้นวันเข้าพรรษา วันอาสาฬหบูชา แล้ววันนี้วันออกพรรษา สิ้นสุดไปพร้อมกับกาล ๓ เดือนนี้ เพราะว่าหน้าฝน กาลหน้าฝนในพรรษา ห้ามเดินไป ห้ามเที่ยวไปเหยียบพืชไร่ของชาวบ้านเขา ให้พระอยู่กับที่
แต่เวลาพระออกพรรษาแล้วก็ให้เที่ยวไป ต้องให้เที่ยวไปเพื่อไม่ให้จำเจไง ความจำเจ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้หมด พระไม่ให้เที่ยวไปตลอด แล้วก็ไม่ใช่ให้อยู่จำพรรษาตลอด ไม่ให้อยู่ที่เดียวตลอด ให้วนเวียนไป วนเวียนไป
เพราะข้างนอกก็เกิดดับๆ ข้างในก็เกิดดับๆ การเกิดดับนี้มันถึงจะต้องเข้ามาบาลานซ์กัน เป็นไปได้พอดี ไม่ใช่อันหนึ่งเกิดดับอยู่ แต่อันหนึ่งหมกมุ่นอยู่กับที่ ก็เหมือนกับฝีไม่เคยบ่งออก มันจะปวดแสบปวดร้อน แล้วก็ลังเลสงสัยไปหมด ทุกอย่างที่ว่าเขาเคยไปมา เราไม่เคยไปมา เราอยากไปประสบ อยากไปเห็น ถ้าไม่ไปเห็นอย่างนั้น ไอ้ที่เกิดดับยิ่งมากขึ้นไปใหญ่ กังวลไง แต่ถ้าไปเห็นเข้า
นี่ออกพรรษาแล้ว ถึงต้องมีกรานกฐินไง กรานกฐินเสร็จแล้วพระถึงไปเยี่ยมพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าอยู่ส่วนใหญ่จะไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามทันทีเลย ภิกษุทั้งหลาย เธอทนอยู่ได้อยู่เหรอ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเลย เธอสบายอยู่เหรอ
ทนอยู่ได้อยู่เหรอ ทนในธรรมวินัย เพราะว่ามันขัดขืนกับกิเลส นี่ธรรมาวุธ อาวุธที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วางไว้นะ มัคคอริยสัจจัง ทาน ศีล ภาวนานั้นไม่ใช่ ทาน ศีลนั้นเป็นแค่เปลือกล้อมเข้ามา ทาน การให้ทาน มันมรรคก็มรรคของปุถุชน มรรคหยาบๆ ทำความถูกต้อง ความชอบ การสละทาน นี่มรรค นี่คือการกระทำ ร่างกาย เห็นไหม
แล้วก็มีทาน ศีล ศีลนี่ทำให้ใจปกติ มรรค ภาวนามยปัญญา เลี้ยงชีวิตชอบ ลูกๆ ให้นมมันกิน มันก็หยุด เวลาเราทุกข์ขึ้นมา เราทำให้ใจเราหยุดได้อย่างไร สัมมาอาชีวะคือเลี้ยงใจตัวเองชอบไง ใจที่มันฟุ้งซ่านอยู่นี่ มันกินอะไรแล้วมันสงบล่ะ? กินพุทโธสิ พุทโธๆ แล้วมันจะสงบ นี่สัมมาอาชีวะ นี่คือสัมมาอาชีวะตามความเป็นจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ในมัคคอริยสัจจังไง ถึงบอกว่ามรรคตรงนี้ไง
อันนั้นมันเป็นปุถุชน มันเป็นมรรคหยาบๆ มรรคของโลกเขา ถ้าเอามาคิด เราคิดกันได้ว่ามรรค เราเดินมรรคแล้ว สัมมาอาชีวะเราถูกต้อง เราทำตามพระพุทธเจ้าแล้ว เห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความธรรมของหยาบๆ เด็กมันเล่นกันอยู่นี่ เราชอบอกชอบใจกันเลย เด็ก ถ้าให้มันมีการศึกษา ไม่บังคับให้มันมีการศึกษา มันจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร
นี่ก็เหมือนกัน แค่ทำทานอยู่เฉยๆ อย่างนั้นน่ะ แล้วมันจะสูงขึ้นมาสูงได้อย่างไร เห็นไหม มรรคหยาบ พอมรรคละเอียดขึ้นไป เราทำไม่ได้ ถ้าเอาหยาบอยู่มันฆ่ามรรคละเอียด มรรคละเอียดเกิดขึ้นไม่ได้ เด็ก ไม่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ เด็กเป็นเด็ก ให้เป็นเด็ก มันสมควรแก่เด็ก ผู้ใหญ่โตขึ้นมาให้เป็นผู้ใหญ่ ผู้ที่เป็นขึ้นไปแล้ว ถึงว่าให้มีวิชาชีพอยู่ภายใน วิชาชีพที่เราประกอบอาชีพ
แต่นี้เขามีวิชชา วิชชาที่ว่าให้ใจมันประสบมาไง ประสบกับความเจ็บแสบปวดร้อน เทียบกับความสุขที่ว่ามันปล่อยวาง แต่ในเมื่อยังไม่เห็นกับความปล่อยวาง เราก็เชื่อก่อนไง เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อปัญญาคุณ พระพุทธเจ้าให้ผลครบ แม้แต่ครบเพียงแต่แค่สื่อนะ ครบพระไตรปิฎกนี้ยังบุญกุศลมหาศาล
เวลาเรากราบ เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เราไม่เห็นตรงกับความเป็นจริง เราไม่เคยเห็นแก่ความเป็นจริงของธรรม เราขัดกับธรรมตลอด แต่เราศึกษามาว่าเราเชื่อ เราศึกษามา สุตมยปัญญา ธรรมศึกษาอย่างนั้นๆ เราเชื่อเลย แต่ทำไมมันไม่เป็นไปล่ะ
เพราะเป็นความจำ ความจำคือความศรัทธา ศรัทธาความเชื่อ เราจูงลูกออกมาสิ จูงลูก เห็นไหม ลูกอยู่หลังเรา ความจริงคือเรา เราสร้างครอบครัวขึ้นมา มีลูก เราจูงลูกมา ลูก ศรัทธาคือลูกไง ตัวจริงคือหัวใจ หัวใจกับศรัทธา ศรัทธาคือความเกิดดับๆ ในใจ ศรัทธามันเกิดกับใจใช่ไหม ไม่ใช่ตัวใจ กิเลสมันอยู่ที่ใจ มันไม่อยู่ที่ศรัทธา ศรัทธาถึงต้องพัฒนาขึ้นมา ให้เข้าไปถึงคน
จากเด็กมันโตขึ้นมา ให้มันก้าวเดินทันพ่อไง ให้ศรัทธาของใจ ให้ความเชื่อของใจก้าวทัน ความเกิดดับ ความคิดของใจไง ความคิดที่มันเกิดดับ มันเกิดดับมาแล้ว พอเกิดมาแล้วเป็นอาการ อาการก็เป็นลูก เป็นอาการของใจ อาการของใจนี่ก็ให้ความทุกข์กับเรา
มันถึงว่าศรัทธาเป็นศรัทธา ถ้าไม่มีมรรคหยาบมันฆ่ามรรคละเอียด ฆ่าอย่างนี้ ถ้ามีมรรคละเอียดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา ความทุกข์ แล้วมันก็จะแก้กันตรงนั้นไง เกิดที่ตรงไหน แก้ที่ตรงนั้น ตรงนั้นปั๊บมันก็ทันกันพอดี ทันกันพอดี ทันตรงนั้น
แต่เราว่าเราเห็นอยู่ นามรูป ทุกอย่างเราเห็นอยู่ อันนั้นเป็นอาการทั้งหมด มันหยาบมาก มันผ่านออกมาจากใจชั้นหนึ่งแล้วค่อยมาผ่านตา วิญญาณเข้าไปรับรู้ มัน ๓-๔ ชั้น กว่าจะเข้าถึงใจ ๓-๔ ชั้นเชียวนะ ผู้ภาวนาจะเห็นตรงนี้ เห็นชัดมากเลย ชัดว่าอันนี้มันเป็นมรรคหยาบๆ มรรคทางโลกเขา
ว่าเป็นสติปัฏฐาน ๔ ก็จริงอยู่ สติปัฏฐาน ๔ ในการทำความสงบ พิจารณากายนอก แต่พอละเอียดเข้ามาๆ มันจะเกิดจากภายใน ไม่ใช่เห็นอย่างนี้หรอก เกิดจากภายใน การเห็นกาย เห็นสติปัฏฐาน ๔ ด้วยจิตเป็นพื้นฐาน คือจิตเป็นสัมมาสมาธิก่อน จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตนั้นมีเอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้เป็นผู้ทำงาน มันมีผู้ทำงาน ผู้เห็น ผู้รู้ ผู้จัดการ ผู้ชำระ ผู้สะสางใจของตัวมันถึงว่าไม่ใช่ศรัทธา มันเป็นความจริง ความจริงที่เกิดขึ้นที่ผู้ปฏิบัตินั้น ถึงต้องเป็นมรรคจริงไง มรรคหยาบๆ ส่วนมรรคหยาบๆ เชื่อ
นี่มันมาอย่างนี้ เราเวียนมาอย่างนี้ เริ่มต้นจากนี่แหละ จากเราเชื่อก่อน เราเชื่อแล้วเราเป็นชาวพุทธ ถึงว่า เรามีวาสนามากนะ เราเกิดมามีวาสนามากเลย มีวาสนาที่ว่าเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ สังคม ทุกคน ทางตะวันตกเขาจะเรียกว่าสังคมนั้นสังคมอุปถัมภ์ จะอุปถัมภ์ไม่อุปถัมภ์ก็แล้วแต่ เราเชื่อนี่ มันเป็นการตกผลึกของใจ ใจมันตกผลึกออกมาแล้วว่าเป็นความเมตตาในหัวใจนั้น เป็นจิตที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มออกมาจากใจ ยิ้มสยาม ยิ้มจากใจ ไม่ใช่ยิ้มที่ปาก มันมีความรู้สึก ใจมันอ่อนไหว อ่อนนิ่ม ยิ้มออกมา เห็นไหม นี้คือสังคมของชาวพุทธไง
ความกตัญญูกตเวทีนี้ก็เป็นธรรม การเคารพ การเชื่อฟังกันก็เป็นธรรม ผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่ก็เป็นธรรม แต่เขาบอกว่า สังคมอุปถัมภ์ จะอุปถัมภ์หรือไม่อุปถัมภ์ มันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราจะอุปถัมภ์ไม่อุปถัมภ์ เป็นส่วนหนึ่ง นั้นถ้าใจเราประเสริฐแล้ว มันทนไม่ได้หรอก มันเห็นแล้วมันอยากจะช่วย เว้นไว้แต่เรารู้ว่าอันนี้เป็นของไม่จริง เราจะโดนหลอก อันนั้นเราก็หลบหลีกไปซะ ความหลบหลีกของเรา
ผู้มีปัญญา พระพุทธเจ้าสอนให้มีปัญญา มีปัญญารู้เท่า รู้เท่าคนอื่นไม่เท่ารู้เท่าทันใจของตัวหรอก ถ้ารู้เท่าทันใจของตัวนะ มันละเอียด มันใกล้ชิดมาก ทำไมจะรู้ไม่เท่าทันคนอื่น เว้นไว้แต่ไม่พูด ไม่พูดแล้วช่วยเหลือเขาไป ความช่วยเหลือเขาบางอย่าง เราเห็นว่าสมควรก็ต้องช่วยเหลือเขาไป เพราะมันเป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเขาที่มันเป็นอย่างนั้น เราก็ช่วยเหลือกันไป
นี่รู้ทันเราแล้วนะ ยังรู้ทันเขาด้วย เหมือนกับโกรธ เขามายั่วให้เราโกรธแล้วเราไม่โกรธ เขาโกรธอยู่ รู้ว่าเขาโกรธอยู่ เราโกรธตอบ นี้ก็เหมือนกัน เขาโกหกมดเท็จอยู่ เรารู้เท่าทันเขาแล้วเราก็เฉยไป เพราะว่าเฉยไปนี่เรารักษาเรา รักษาเขา มันคบกันได้ไง
ถึงว่า การสังคมที่ว่าการให้อภัย การให้อภัยกันในสังคมของชาวพุทธ กับถ้าคนอื่นเขามองมา มันไม่เด็ดขาด ความไม่เด็ดขาดแล้วแต่เขาว่า แต่สังคมนั้นมีความสุข เราเกิดในศาสนาพุทธ เกิดในสังคมของชาวพุทธ เราได้ประโยชน์ตั้งแต่ตรงนั้นมาแล้ว ถึงว่าเราเกิดมาเราได้ประโยชน์แล้ว สังคมนี้ไม่ทำลายกันจนถึงกับที่สุด แต่มีไอ้เรื่องข้างนอกกิเลสกระทบกระทั่งกัน เรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาของทุกสังคมเลย สังคมไหนก็มี มีทั้งนั้นน่ะ
คนเกิดมาจากกิเลส พอพ้นจากตรงนี้ไปแล้ว เราเกิดมาอยู่ในสังคมนั้นแล้ว เรายังเข้ามาได้ทำทานอีก ได้ฟังธรรมอีก ได้ปฏิบัติอีก ปฏิบัติจริงๆ จนใจพ้นไปจริงๆ นี่มันถึงว่า วาสนามากเลย วาสนาของการเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่พอ เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จนเทวดาเขาจะตายกัน อยู่ในธรรมบท เวลาตายแล้วเขาอวยพรกันไง เทวดานะ...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)